Basic of Natural Gas

ก๊าซธรรมชาติมีก๊าซหลายอย่างประกอบเข้าด้วยกัน มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า มีเทน อีเทน โพรเพน บิวเทน ฯลฯ แต่โดยทั่วไปจะประกอบด้วยก๊าซมีเทนเป็นส่วนใหญ่ คือ ร้อยละ 70 ขึ้นไป ก๊าซพวกนี้เป็นสารไฮโดรคาร์บอนทั้งสิ้น เมื่อจะนำมาใช้ ต้องแยกก๊าซออกจากกันเสียก่อน จึงจะใช้ประโยชน์ได้เต็มที่ นอกจากสารไฮโดรคาร์บอนแล้ว ก๊าซธรรมชาติยังอาจประกอบด้วยก๊าซอื่นๆที่ไม่ใช้ไฮโดรคาร์บอน อาทิ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ ก๊าซไนโตรเจน และน้ำ เป็นต้น สารประกอบเหล่านี้สามารถแยกออกจากกันได้ โดยนำมาผ่านกระบวนการแยกที่โรงแยกก๊าซธรรมชาติ ก๊าซที่ได้แต่ละตัวนำไปใช้ประโยชน์ต่อเนื่องได้อีกมากมาย Methane (CH4), Ethane (C2H6), Propane (C3H8), Butane (C4H10), Pentane (C5H12), Hexane (C6H14) และ Non-Hydrocarbon อื่น เช่น CO2, N2, H2O, H2S เป็นต้น

หมายถึง ก๊าซธรรมชาติที่มีส่วนประกอบของ ก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ อยู่น้อยมากหรือไม่มีเลย



หมายถึง ก๊าซธรรมชาติที่มีส่วนประกอบของก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์อยู่มาก โดยทั่วไปก๊าซธรรมชาติถือว่าเป็นก๊าซเปรี้ยวถ้ามีส่วนประกอบของก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ มากกว่า 5.7 มิลลิกรัม ต่อลูกบาศก์เมตรของก๊าซธรรมชาติซึ่งเทียบเท่ากับประมาณ 4 ppm โดยปริมาตรภายใต้อุณหภูมิและความดันมาตรฐาน อย่างไรก็ตามเกณฑ์นี้แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ รัฐหรือแม้กระทั่งหน่วยงาน

หมายถึง ก๊าซธรรมชาติที่มีองค์ประกอบหลักเป็นก๊าซมีเทนและก๊าซอีเทน ซึ่งมีสถานะเป็นก๊าซที่มีอุณหภูมิและความดันปกติ โดยมี โพรเพน, บิวเทน และไฮโดรคาร์บอนเหลวน้อยกว่า 0.1 แกลลอนต่อก๊าซธรรมชาติ1,000 ลูกบาศก์ฟุต ( น้อยกว่า 4%) โดยสามารถนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตก๊าซธรรมชาติเหลว (Liquefied Natural Gas; LNG) เพื่อบรรจุถังและขนส่งไปจำหน่ายต่างประเทศได้ และสามารถใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเมธานอล ปุ๋ย ไนโตรเจน แอมโมเนีย และผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีต่างๆ ใช้แทนน้ำมันเตาในการผลิตกระแสไฟฟ้าและใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ


หมายถึง ก๊าซธรรมชาติที่มีองค์ประกอบหลักเป็นพวกก๊าซธรรมชาติเหลว โดยมี โพรเพน, บิวเทน และไฮโดรคาร์บอนเหลวมากกว่า 0.1197 แกลลอนต่อก๊าซธรรมชาติ1,000 ลูกบาศก์ฟุต (ตั้งแต่ 4-8 % ขึ้นไป) ใช้เป็นวัตถุดิบผลิตก๊าซปิโตรเลียมเหลว (Liquefied Petroleum Gas; LPG) หรือก๊าซหุงต้ม ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหุงต้มในครัวเรือน ขับเคลื่อนรถยนต์ ใช้กับระบบตู้เย็นและเครื่องทำความเย็น ใช้เป็นวัตถุดิบป้อนโรงงานกลั่นน้ำในดิบบางส่วน และใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมชนิดต่างๆ


ก๊าซธรรมชาติในสถานะต่างๆ






1. การเปรียบเทียบการใช้พลังงานแบบทั่วไปและ แบบ Co-generation






2. ประโยชน์จากเทคโนโลยี Co-generation
  • ส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า โดยการนำความร้อนที่เหลือจากการผลิตไฟฟ้ามาผลิตพลังงานในรูปแบบอื่นๆ เช่น ทำไอน้ำ ทำความเย็น เป็นต้น ซึ่งเทคโนโลยี Co-generation จะก่อให้เกิดประสิทธิภาพการใช้พลังงานถึง 80% สูงกว่าระบบ Centralize ในปัจจุบันซึ่งมีประสิทธิภาพเพียง 40-50%
  • ช่วยลดการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงของประเทศ จากการนำก๊าซธรรมชาติมาทดแทน
  • ช่วยลดต้นทุนการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรม หรือการประกอบการจากค่าใช้จ่าย การใช้พลังงานที่ลดลง ระบบ Co-generation ลดต้นทุนค่าไฟฟ้าอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นการลดต้นทุนการผลิต และเป็นการเสริมสร้าศักยภาพในการแข่งขัน
  • ระบบ Co-generation มีประโยชน์มากสำหรับโรงงานที่มีความต้องการใช้พลังงานในรูปแบบไฟฟ้า และความร้อนที่เหมาะสมกัน เพราะประโยชน์ที่จะได้รับ คือ การนำเอาความร้อนที่ต้องปล่อยทิ้ง กลับมาใช้เป็นพลังงานในรูปแบบอื่นๆ เช่น ทำไอน้ำ การอบแห้ง ฯลฯ
  • ช่วยลดการลงทุนโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่มีประสิทธิภาพต่ำ และมีต้นทุนสูง เนื่องจากความต้องการพลังงานไฟฟ้าที่ต่างกัน ในแต่ละช่วงเวลาของวัน
  • ช่วยลดมลภาวะจากการใช้ก๊าซธรรมชาติแทนการใช้น้ำมันเตาในการผลิตไอน้ำ การอบแห้ง ฯลฯ

ก๊าซธรรมชาติและก๊าซหุงต้มแตกต่างกันอย่างไร




โรงแยกก๊าซธรรมชาติ
  • เพื่อผลิตก๊าซหุงต้มหรือ แอล พี จี (Propane และ Butane) สำหรับสนองความต้องการภายในประเทศ
  • เพื่อแยกก๊าซอีเทน (Ethane) สำหรับใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมพื้นฐาน อันจะส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเคมีต่อเนื่องในสาขาต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง
  • เพื่อแยกก๊าซมีเทน (Methane) สำหรับใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทนน้ำมันเตาในโรงไฟฟ้า และโรงงานอุตสาหกรรมอื่น ๆ ในอนาคต นอกจากนั้นยังสามารถนำก๊าซมีเทนไปใช้ เป็นวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมปุ๋ยเคมี ผลิตแอมโมเนียและยูเรีย ตลอดจนใช้ผลิตเมธานอลได้ด้วย
กระบวนการผลิตของโรงแยกก๊าซธรรมชาติระยอง



ประโยชน์จากโรงแยกก๊าซธรรมชาติ
  • ก๊าซมีเทน (Methane)
    ใช้เป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้า โรงงานอุตสาหกรรม ปุ๋ยเคมี และเมื่อนำไปอัดใส่ถังด้วยความดันสูง เรียกว่า ก๊าซธรรมชาติอัด (Compressed Natural Gas - CNG) หรืออีกชื่อหนึ่งคือ ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (Natural Gas Vehicles - NGV) สามารถใช้เป็นเชื้อเพลิงในรถยนต์ได้
  • ก๊าซอีเทน (Ethane)
    ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขั้นต้น ที่ใช้ผลิตเม็ดพลาสติก เส้นใยพลาสติกชนิดต่างๆ
  • ก๊าซโปรเพน (Propane)
    และก๊าซปิโตรเลียมเหลว (Liquidfied Petroleum Gas - LPG) ก๊าซโปรเพนใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขั้นต้น ส่วนก๊าซ LPG (ก๊าซหุงต้ม) เป็นส่วนผสมของก๊าซโปรเพน (Propane) และก๊าซบิวเทน (Butane) ใช้เป็นเชื้อเพลิงในครัวเรือน รถยนต์ การเชื่อมโลหะ โรงงานอุตสาหกรรมบางประเภท ซึ่งปัจจุบันประมาณร้อยละ 70 แห่ง ทั่วประเทศไทย
  • ก๊าซธรรมชาติเหลว (Natural Gasoline - NGL)
    นำเข้าโรงกลั่นน้ำมันจะได้ผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูป และสามารถใช้ทำตัวทำละลายได้


ที่มาของข้อมูล : โรงแยกก๊าซธรรมชาติ จ.ระยอง